ภายหลังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระโพธิสัตว์ ได้เสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน โดยมีพระพุทธประสงค์ไปโปรดปัญจวัคคีย์ และสถานที่แห่งนั้นพระรัตนตรัยก็บังเกิด คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ครบบริบูรณ์
ต่อมาพระพุทธเจ้าก็ทรงระลึกถึงพระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์แห่งกรุงราชคฤห์ เพราะก่อนตรัสรู้ได้ทรงรับปากว่า เมื่อพบธรรมะอันประเสริฐแล้วก็กลับมาโปรดพระองค์ก่อนใครอื่น ดังนั้นพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกพากันเดินทางมายังกรุงราชคฤห์ และระหว่างทางนั้นก็มีผู้เลื่อมใสขอบวชในศาสนาอีกเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งมีพระภิกษุถึง ๑,๐๐๐ รูป เมื่อถึงกรุงราชคฤห์ ขบวนพุทธสาวกที่ได้เดินตามพระพุทธองค์เป็นแถวยาวเหยียด สร้างความตื่นตะลึงแก่ชาวเมืองและหัวหน้าสำนักบวชในนิกายต่างๆเป็นอันมาก
ขณะนั้น นายมาลาการผู้มีหน้าที่คอยจัดหาดอกไม้ถวายต่อพระเจ้าพิมพิสารทุกเช้าตรู่วัน ละ ๘ ทะนาน กำลังเดินถือดอกไม้ไปถวายต่อพระเจ้าพิมพิสารยังพระมหาราชวัง เผอิญได้ไปพบพระพุทธเจ้าและพระสาวกเข้ามาในเมือง รอบพระวรกายของพระพุทธองค์มีฉัพพรรณรังสีเปล่งออกมา จึงบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธา แต่ทว่าตนไม่มีสิ่งใดที่จะถวายแด่พระพุทธองค์ คงมีแต่ดอกไม้ที่จะถวายต่อพระเจ้าพิมพิสารเท่านั้น พอคิดได้ดังนั้น นายมาลาการก็รวบรวมดอกไม้ขึ้นตั้งจิตอธิษฐาน จากนั้นเดินตรงไปยังที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ แล้วใช้ดอกไม้โปรยไปยังองค์พระสมณเจ้าก่อน ๒ ทะนาน ด้วยแรงอธิษฐานของนายมาลาการที่จะสร้างกุศล พลันเกิดเป็นอภินิหาร ดอกไม้ที่ได้โปรยไปนั้นหาได้ตกพื้นดินแม้แต่น้อย กลับไปลอยวนเวียนอยู่ในอากาศ เหนือพระเศียรของพระพุทธองค์ ๓ รอบ แล้วรวมกันเป็นเพดานลอยเป็นแพคุ้มกันแดดแก่พระพุทธองค์ นายมาลาการเห็นดังนั้น จึงได้ซัดโปรยดอกไม้ไปอีก ๒ ทะนาน
ครั้งที่ ๒ ดอกไม้ได้ห้อยย้อยลงตั้งอยู่ด้านพระหัตถ์ขวา
ครั้งที่ ๓ ซัดโปรยดอกไม้ไปได้ห้อยย้อยลงอยู่ด้านพระปฤษฎางค์(ข้างหลัง)
ครั้งที่ ๔ ซัดโปรยดอกไม้ไป ได้ห้อยย้อยลงมา ตั้งอยู่ด้านพระหัตถ์ซ้าย ดอกไม้ทั้ง ๘ ทะนาน ที่นายมาลาการได้ซัดโปรยบูชาพระพุทธเจ้านั้น ทุกดอกหันขั้วเข้าหาพระวรกายพระพุทธองค์ ซึ่งจะหันกลีบดอกออกมาภายนอก แต่จะเว้นช่องเอาไว้ทางด้านหน้า เพื่อที่จะให้พระพุทธองค์ได้เสด็จพุทธดำเนินต่อไป
ครั้งที่ ๕ ซัดโปรยดอกไม้ไป ได้ห้อยย้อยลงมา ตั้งอยู่ด้านพระหัตถ์ซ้าย ดอกไม้ทั้ง ๘ ทะนาน ที่นายมาลาการได้ซัดโปรยบูชาพระพุทธเจ้านั้น ทุกดอกหันขั้วเข้าหาพระวรกายพระพุทธองค์ ซึ่งจะหันกลีบดอกออกมาภายนอก แต่จะเว้นช่องเอาไว้ทางด้านหน้า เพื่อที่จะให้พระพุทธองค์ได้เสด็จพุทธดำเนินต่อไป
ปรากฏการณ์ประหลาดนี้เป็นข่าวกระจายไปทั่วกรุงราชคฤห์ ชาวเมืองต่างพากันแตกตื่นแห่แหนกันมาดู บางคนก็มาตักบาตรบ้าง บางรายก็ต้องการแค่เข้ามาชมพุทธบารมีพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ละคนที่ได้มาเห็นความอัศจรรย์แตกต่างกันออกไปด้วยสายตาของแต่ละคน
ข่าวนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงพระกรรณพระเจ้าพิมพิสารว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาบิณฑบาตใกล้ถึงพระราชวังแล้ว และนายมาลาการได้ไปพบเข้า จึงถวายดอกไม้ของพระองค์จนหมดสิ้น พระองค์จึงได้เสด็จพระราชดำเนินไปถวายนมัสการต่อพระพุทธเจ้า และทูลถามว่า”เพราะเหตุใด พระศาสดาจึงไม่เสด็จเข้าสู่ปราสาทมณเฑียร”
พระพุทธเจ้าทรงชี้แจงว่า“หากเราพึงเข้าไปในพระราชวังแล้วไซร้ มหาชนก็จะไม่เห็นเรา คุณของนายมาลาการก็จะไม่พึงปรากฏ แต่ว่ามหาชนจักต้องการเห็นเรานั่งอยู่ ณ พระลานหลวง คุณของนายมาลาการจึงบังเกิดขึ้น”
พระศาสดาทรงกระทำอนุโมทนาแล้ว จึงเข้าสู่ป่าเวฬุวัน โดยมีพระเจ้าพิมพิสารตามเสด็จเข้าไปด้วยความเลื่อมใสและศรัทธาเหมือนอย่าง ชาวราชคฤห์ทั่วไป และทรงได้สร้างวัดไว้ที่ป่าเวฬุวัน เพื่อถวายให้เป็นที่จำพรรษาแด่พระพุทธเจ้าและเหล่าพระพุทธสาวกทั้งหลาย พระอารามเวฬุวันมหาวรวิหาร จึงเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาและเป็นวัดที่พระพุทธเจ้าทรงจำพรรษายาวนานที่สุด
หลังจากพระเจ้าพิมพิสารเสด็จพระราชดำเนินกลับสู่พระราชวัง ได้มีรับสั่งให้นายมาลาการเข้าเฝ้าเป็นการด่วนและทรงพิจารณาความเป็นมาทั้ง หมด นายมาลาการได้ถวายตามความสัตย์จริงโดยมิได้เกรงกลัวต่อโทษทัณฑ์ที่ตนเองจะ ได้รับ ปรากฏผลในทางตรงกันข้าม คือ พระเจ้าพิมพิสารไม่ได้ลงโทษแก่นายมาลาการแต่อย่างไร อีกทั้งยังปูนบำเหน็จรางวัลความดีความชอบ พระราชทานสิ่ง ของทั้งปวงให้แก่นายมาลาการ เรียกว่าหมวด ๘ แห่งวัตถุ ประกอบด้วย ช้าง ๘ เชือก, ม้า ๘ ตัว, ทาส ๘ คน, ทาสี ๘ คน, เครื่องประดับ ๘ ชุด, กหาปณะ(เงินตรามีพิกัดเท่ากับ ๑ ตำลึง) ๘ พัน, นารี ๘ นาง(ที่นำมาจากราชตระกูลประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง) อีกทั้งยังให้บ้านสวยงามขนาดใหญ่อีก ๘ หลัง
นายมาลาการยอมสละชีวิต เพื่อบูชาต่อองค์พระศาสดาครั้งนี้ แทนที่จะได้รับพระราชอาญาจากพระราชา กลับกลายเป็นอานิสงส์ค้ำจุนให้มีความสุขและผลแห่งกรรมดีนั้น ภายหลังได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธะ มีนามว่า“พระสุมนะ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น