ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หรือ ศาลเจ้าเล่งจูเกียง เป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานนับร้อยๆ ปี โดยไม่ปรากฏศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ณ ดินแดนประเทศอื่นที่ชาวจีนอพยพเข้าไปตั้งรกรากอีกเลย แม้กระทั่งในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ เหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องมาจากตำนานได้ระบุว่า เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวได้เดินทางข้ามน้ำทะเลเข้ามาในประเทศไทย เช่นเดียวกับการอพยพของจีนในอดีตนั่นเอง โดยมีประวัติของเจ้าแม่ปรากฏอยู่ในเอกสารต่างๆ ดังนี้
ชีวประวัติหรือชาติภูมิของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ในหนังสือที่ระลึกสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ศาลเจ้าเล่งจูเกียง จัดพิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๗ มีใจความว่า “เจ้าแม่กำเนิดในครอบครัวของตระกูลลิ้ม มีชื่อเต็มว่า“ลิ้มกอเหนี่ยว”บางตำนานของแถบไต้หวันกล่าวนามเจ้าแม่ว่า จินเหลียง แปลว่า บัวทอง เพราะคำว่า กอเหนี่ยวเป็นคำที่ชาวจีนใช้ยกย่องหญิงสาวที่ยังมิได้แต่งงาน ส่วนภูมิลำเนาเข้าใจว่าอยู่ทางมณฑลฮกเกี้ยน”
จดหมายเหตุราชวงศ์เหม็ง ได้บันทึกไว้ว่าเป็นชาวเมืองจั่วจิว แขวงเมืองฮกเกี้ยน แต่หนังสือ“ภูมิประวัติเมืองแต้จิ๋ว” เล่มที่ ๓๘ เรื่อง ชีวประวัติลิ้มเต้าเคียน กล่าวว่า มีพื้นเพเดิมเป็นชาวอำเภอฮุยไล้ แขวงเมืองแต้จิ๋ว
เรื่องราวของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว อยู่ในสมัยพระเจ้าซื่อจงฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหม็ง (ครองราชย์ระหว่างพ.ศ.๒๐๖๕-๒๑๐๙)
เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นบุตรคนหนึ่งของครอบครัวตระกูลลิ้ม ซึ่งมีบุตรสองคน บุตรคนโตเป็นชายชื่อว่า“ลิ้มเต้าเคียน”เป็นผู้มีความรู้ความสามารถสูงและมีอัธยาศัยดีงาม อีกทั้งรูปร่างสูงสง่างาม มีความเจนจัดในการสู้รบ โดยเฉพาะฝีมือในเชิงดาบ ส่วนบุตรคนเล็กเป็นหญิงมีชื่อว่า“จินเหลียง”(ทุกคนรู้จักกันในนาม“ลิ่มกอเหนี่ยว)เป็นผู้ที่มีรูปโฉมสะคราญ น้ำใจงดงาม มีความกตัญญูสูง และน้ำใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว (แต่ทว่าภายในศาลเจ้าเล่งจูเกียง ยังมีรูปปั้นเจ้าแม่อีกองค์หนึ่งวางคู่กับรูปปั้นของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว มีชื่อระบุบอกว่าเป็นน้องเจ้าแม่ฯ) ทายาทตระกูลลิ้มสองพี่น้องได้ร่ำเรียนศิลปะแขนงต่างๆจนมีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะลิ้มเต้าเคียนผู้พี่พอเจริญวัยเป็นหนุ่ม จึงได้เข้ารับราชการเป็นพนักงานอำเภอ แต่ด้วยความมีจิตใจที่ทระนงองอาจและรักความเป็นธรรม ทำให้ชาวบ้านต่างก็ให้ความนับถือรักใคร่ ขณะเดียวกันบรรดาขุนนางกังฉินก็พากันริษยาและเกรงกริ่งอยู่
มูลเหตุที่ทำให้เจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยวเดินทางมาประเทศไทยนั้น สืบเนื่องมาจาก ลิ้มเต้าเคียน ผู้เป็นพี่ชายเดินทางมาอยู่ในประเทศไทยก่อน โดยกล่าวกันเป็นสองทาง คือ
ในสมัยของพระเจ้าซื่อจงฮ่องเต้ ได้มีโจรสลัดญี่ปุ่นชุกชุมเที่ยวปล้นสดมภ์ชาวเมืองตามชายฝั่งทะเลจีนอยู่เสมอ จนสร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกระแหง และยังได้ทำการเข้าปล้นโจมตีเมืองจิเกียง ทางเมืองหลวงจึงได้แต่งตั้งขุนพลเช็กกีกวงดำรงตำแหน่งแม่ทัพเรือไปปราบปรามโจรให้ราบคาบ และได้โอกาสเดียวกันนั้นปรักปรำลิ้มเต้าเคียนว่า ได้สมคบกับโจรสลัดญี่ปุ่นส้องสุมกำลังผู้คนและอาวุธ เตรียมทำการกบฏก่อความวุ่นวาย ทางราชการจึงได้ออกหมายประกาศจับลิ้มเต้าเคียน
ลิ้มเต้าเคียนรู้ตัวว่ายากที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และขืนทำการแข็งข้อกับทัพหลวง ผลที่จะเกิดขึ้นมีแต่ร้ายมากกว่าดี จึงได้เกลี้ยกล่อมชักชวนพรรคพวกของตนที่หลบหนีอยู่ พากันอพยพหลบภัยฝ่าวงล้อมกองทัพหลวง นำเรือสามสิบกว่าลำออกสู่เกาะไต้หวันอย่างปลอดภัย แต่ก็ไม่กล้าตั้งมั่นอยู่ที่นั่นตลอดไป เพราะกลัวว่าทัพหลวงจะออกไปติดตามไปโจมตี อีกทั้งยังต้องคอยป้องกันการถูกลอบโจมตีจากโจรสลัดญี่ปุ่น
จดหมายราชวงศ์เหม็ง เล่มที่ ๓๒๓ “ประวัติเมืองกีลุ่ง”(ไต้หวันปัจจุบัน ขณะที่ยังอยู่ในความปกครองของสเปน) ถูกกองทัพเรือรบของสเปนโจมตีที่นอกฝั่งเกาะลูซอน ลิ้มเต้าเคียนพาสมัครพรรคพวกต่อต้านสุดความสามารถ ทำให้เรือรบของสเปนถูกทำลายย่อยยับหลายลำ แต่จำเป็นต้องล่าถอยด้วยขาดเสบียงอาหารและกำลังหนุน เหตุการณ์สู้รบครั้งนี้ ทำให้นักภูมิศาสตร์จีนพากันยกย่องลิ้มเต้าเคียนเป็นยอดนักรบ นักผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ของจีน พร้อมกับให้เกียรติตั้งชื่อเกาะในทะเลจีนใต้ว่า“เกาะเต้าเคียน” จดหมายเหตุราชวงศ์เหม็ง“ประวัติเมืองลูซอน” บันทึกว่า“เมื่อปีบวนที่ ๔ ตรงกับปีพุทธศักราช ๒๑๑๙ ชาวเมืองลูซอนได้ฟื้นฟูสัมพันธไมตรีกับจีน เนื่องจากได้ช่วยเหลือราชการจีนปราบปรามลิ้มเต้าเคียน จดหมายราชวงศ์เหม็ง เล่มที่ ๓๒๓ บันทึกว่า“ลิ้มเต้าเคียนได้หลบหนีการจับกุม ไปอาศัยอยู่ที่เมืองปัตตานี มีท่าเรือเรียกว่า“ท่าเรือเต้าเคียน”
บางตำนานได้เล่าว่า ลิ้มเต้าเคียนเคยอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ต่อมาได้มาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองปัตตานี เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในครั้งแรก ขณะที่เข้าอยู่ที่ปัตตานี ลิ้มเต้าเคียนได้เข้ารีตถือศาสนาอิสลาม และได้ภรรยาเป็นเชื้อพระวงศ์ของเจ้าเมืองปัตตานี แต่ลิ้มเต้าเคียนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถสูง เจ้าเมืองปัตตานีจึงโปรดปรานเป็นอันมาก จึงได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหัวหน้าด่านศุลกากรเก็บส่วยสาอากร นับเป็นตำแหน่งสูงมากของชาวต่างชาติที่มาอาศัยอยู่ในปัตตานีสมัยนั้น ผลงานที่ลิ้มเต้าเคียนได้สร้างขึ้น ระหว่างที่ได้มาอาศัยอยู่ที่เมืองปัตตานี คือ มัสยิดกรือเซะ และ ปืนใหญ่พญาตานี
ส่วนมูลเหตุที่ลิ้มเต้าเคียนเข้ามาอยู่ในปัตตานี ซึ่งได้จากการบันทึกของคุณสุวิทย์ คณานุรักษ์ คหบดีใหญ่แห่งปัตตานี ซึ่งได้รวบรวมจากปากคำบอกเล่าของพระยาจีนคณานุรักษ์ ผู้สร้างศาลเจ้าเล่งจูเกียง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว มีใจความดังนี้
ลิ้มเต้าเคียนเป็นพ่อค้าวาณิชได้นำสินค้ามาจากประเทศจีน โดยบรรทุกเรือสำเภาเข้ามาค้าขายในกรุงสยามและท่าเรือสุดท้ายที่ขายสินค้า คือ เมืองกรือเซะ อำเภอปัตตานีในปัจจุบัน กรือเซะในสมัยก่อน สันนิษฐานว่าคงเป็นแหล่งชุมชนใหญ่แห่งหนึ่งมีอายุเก่าแก่ จึงได้มีการสร้างมัสยิดกรือเซะขึ้น เจ้าผู้ครองนครกรือเซะสมัยนั้นเป็นมุสลิม มีธิดาผู้งามพร้อมเป็นกุลสตรีนางหนึ่ง ซึ่งธรรมเนียมของพ่อค้าสมัยก่อน เวลานำเรือสินค้าเข้าจอด ณ เมืองใด มักนำผ้าแพรพรรณที่งดงามและสิ่งของมีค่าขึ้นถวายเจ้าผู้ครองเมือง เพื่อเป็นของกำนัลและเป็นการผูกไมตรี ลิ้มเต้าเคียนได้จัดผ้าแพรพรรณและสิ่งของไปถวายเจ้าเมือง ผลปรากฏว่าเป็นที่พอพระทัยของเจ้าผู้ครองนครเป็นอย่างยิ่ง เจ้าเมืองกรือเซะได้ให้ความสนิทสนมและเป็นกันเองกับลิ้มเต้าเคียนเป็นอย่างดี
ลิ้มเต้าเคียนเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและมีอัธยาศัยดีงาม รูปร่างก็สมชายชาตรี มีความเชี่ยวชาญในการสู้รบ จึงเป็นที่นิยมชมชอบของธิดาเจ้าเมืองกรือเซะ ซึ่งลิ้มเต้าเคียนเองก็พึงพอใจอยู่เช่นกัน ในที่สุดบุคคลทั้งสองได้เจ้าพิธีวิวาห์กันแบบอิสลาม โดยลิ้มเต้าเคียนเองก็ไม่ขัดข้อง เพราะถือเอาความรักเป็นใหญ่ ถึงกับยอมเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามด้วยความเต็มใจส่วนลูกเรือที่มากับลิ้มเต้าเคียน ต่างก็ไม่ยอมกลับคืนสู่เมืองจีน ยอมอยู่กับลิ้มเต้าเคียนผู้เป็นเจ้านายทั้งหมด และได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม มีภรรยาตามไปด้วย ปัจจุบันจึงมีชาวอิสลามที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นจำนวนมาก ที่มีชื่อเป็นยาวี แต่ใช้แซ่ลิ้มอยู่ทั่วไป
กาลเวลาผ่านไปหลายปี มารดาของลิ้มเต้าเคียนที่อยู่ทางเมืองจีน ไม่พบเห็นบุตรชายกลับมาจากการค้าขายดังปรกติ ก็มีความคิดถึงและเป็นห่วง จนไม่เป็นอันกินอันนอน ฝ่ายลิ้มกอเหนี่ยวและน้องสาวคอยเฝ้าปรนนิบัติอยู่มีความสงสาร ประกอบกับมีความเป็นห่วงพี่ชาย ที่จากไปนานและมิได้ส่งข่าวคราวมาให้ทราบ จึงรับอาสามารดาออกติดตามพี่ชาย เพื่อจะพากลับมาบ้านให้จงได้
หนังสือที่ระลึกงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวกล่าวไว้ว่า มารดาของลิ้มเต้าเคียนมีความห่วงใย ถึงกับล้มป่วยอยู่เนืองๆลิ้มกอเหนี่ยวเฝ้าปฏิบัติจนอาการหายป่วยเป็นปรกติ ด้วยความกตัญญูกตเวทิตาจึงได้ขออนุญาตจากมารดา อาสาออกติดตามหาพี่ชายให้กลับบ้าน แต่มารดาไม่อนุญาตเกรงว่า การเดินทางจะได้รับความลำบากและเสี่ยงต่ออันตราย แต่จำต้องยอมจำนนต่อเหตุผลและคำอ้อนวอนของบุตรสาว ลิ้มกอเหนี่ยวได้จัดแจงสัมภาระเครื่องเดินทาง เสร็จแล้วชักชวนญาติมิตรสนิทหลายคนไปด้วย ก่อนจากนางได้ร่ำลามารดาด้วยสัจจะวาจาว่า“หากแม้นพี่ชายไม่ยอมกลับมาหามารดาแล้วไซร้ ตนก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป”
บันทึกที่รวบรวมโดยคุณสุวิทย์ คณานุรักษ์ อดีตผู้จัดการธนาคารนครหลวง สาขาปัตตานี มีใจความว่า“การออกติดตามของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวครั้งนี้ นางได้คัดเลือกชายฉกรรจ์ที่มีฝีมือในการสู้รบ อีกทั้งเจนจัดในฝีมือเชิงดาบจำนวน ๗๐ คนและใช้เรือสำเภาออกติดตามมาจนถึงแดนเซียมก๊ก(เมืองสยาม) โดยแวะที่ท่าเรือเมืองนครศรีธรรมราชเป็นแห่งแรก และได้สืบหาพี่ชายเรื่อยมาทางใต้ จนกระทั่งถึงหน้าเมืองกรือเซะก็ได้ทอดสมอหยุดเรือที่อ่าวหน้าเมือง ฝ่ายทางเมืองกรือเซะเข้าใจว่าเป็นเรือของข้าศึกยกมาตีเมือง จึงจัดส่งทหารออกไปขับไล่หลายครั้ง แต่ก็พ่ายแพ้กลับมาทุกครั้ง เจ้าเมืองกรือเซะเห็นว่าทหารของตนไม่มีฝีมือเทียบข้าศึกได้ อีกทั้งยังไม่มีใครกล้าอาสาออกรบอีก จึงขอร้องให้ลิ้มเต้าเคียนกับพวกที่มาจากเมืองจีนช่วยนำทัพออกไปสู้กับฝ่ายตรงข้าม
เนื่องจากลิ้มเต้าเคียนและลิ้มกอเหนี่ยวเรียนวิชามาจากอาจารย์สำนักเดียวกัน แต่เป็นคนละรุ่น ลิ้มเต้าเคียนแต่งกายเป็นชายมุสลิม ลิ้มกอเหนี่ยวและน้องสาวแต่งกายเป็น ผู้ชายจีน ประจวบกับเป็นเวลากลางคืน และฝีมือเพลงดาบก็คล้ายคลึงกัน เมื่อสู้รบกันเป็นเวลานาน ต่างก็สงสัยว่า ทำไมเพลงดาบจึงเหมือนกัน ในที่สุดก็ได้พักรบและถามไถ่กันตามธรรมเนียมจีน จึงได้รู้ว่าเป็นพี่น้องกัน การสู้รบเลยยุติและพากันกลับเข้าเมืองไปพบเจ้าเมือง
หนังสือที่ระลึกงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวบันทึกว่า ครั้นพบพี่ชายแล้ว ลิ้มกอเหนี่ยวก็เล่าความประสงค์ที่ได้ติดตามมาในครั้งนี้ว่า พี่ได้ทอดทิ้งมารดาและน้องสาวจากบ้านมาอยู่แดนไกลเสียเช่นนี้หาควรไม่ แม้นพี่กลับไปอยู่บ้านเดิมก็พอทำกินเป็นสุขได้อีก ทั้งทุกคนจะได้อยู่ใกล้ชิดพร้อมหน้ากันก่อนที่มารดาจะหาบุญไม่แล้ว
เรื่องนี้เป็นที่น่าชวนสงสัยอยู่ว่า ถ้าลิ้มเต้าเคียนเป็นนักโทษอาญาแผ่นดิน เหตุไฉนลิ้มกอเหนี่ยวถึงชวนพี่ชายกลับเมืองจีน และทำไมครอบครัวทางเมืองจีนได้อยู่อย่างสุขสบาย มิได้ถูกลงโทษตามไปด้วย
ลิ้มเต้าเคียนคิดตรึกตรองแล้วว่า“พี่นี้ใช่จะเนรคุณต่อมารดาและน้องสาวไม่ ด้วยโทษที่ทางราชการเมืองจีนกล่าวหาเป็นโจรสลัด ทำให้ต้องพลัดพรากหนีมาพึ่งพาอาศัยอยู่ที่นี่ ขืนไปตอนนี้เท่ากับหาความยุ่งยากใจให้กับตนเอง เพราะทางราชการยังมิได้อภัยโทษให้ ส่วนทางเมืองกรือเซะนี้ซิ กลับให้พี่ได้อาศัยหลบภัยและมีความเป็นอยู่อย่างสุขสมบูรณ์ ไม่ต้องระหกระหินพเนจร บัดนี้ภารกิจทางเมืองกรือเซะมีมากมาย เพราะได้อาสาท่านเจ้าเมืองก่อสร้างมัสยิด จึงมิอาจตามน้องกลับไปในขณะนี้ได้”
ในหนังสือเล่มเดียวกันหน้าที่ ๒๑ ยังมีใจความอีกว่า“ขณะนั้นเจ้าเมืองปัตตานีถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคชรา ไม่มีบุตรที่จะยกให้ครองสืบไป พวกศรีตวันกรมการต่างปรึกษาหารือกันว่า จะเลือกบุตรพระญาติวงศ์องค์ใดที่จะยกให้เป็นเจ้าเมือง แต่ยังไม่ทันจะจัดแจง เหตุการณ์ร้ายแรงที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คือ เกิดกบฏแย่งชิงอำนาจเป็นใหญ่ ถึงกับรบพุ่งนองเลือดระหว่างพระญาติวงศ์ของเจ้าเมือง พวกกบฏได้เตรียมการล่วงหน้า ผิดกับฝ่ายเจ้าเมืองที่ไม่ระวังมาก่อน จึงมิอาจต่อต้านได้ทันท่วงที ลิ้มเต้าเคียนกับทหารผู้ภักดีได้ต่อสู้กับพวกบฏอย่างเต็มความสามารถ ลิ้มกอเหนี่ยวประสบกับเหตุการณ์ครั้งนี้เข้า ด้วยความเป็นห่วงพี่ชายจะได้รับอันตราย จึงได้เสี่ยงชีวิตเข้าช่วยพี่ชายสู้รบกับพวกกบฏอย่างห้าวหาญ จนพวกกบฏแตกพ่ายถอยหนีไป ความเก่งกาจสามารถของลิ้มกอเหนี่ยวเป็นที่กล่าวขวัญทั่วเมืองปัตตานี เมื่อลิ้มกอเหนี่ยวเห็นเมืองปัตตานีมีเหตุการณ์ยุ่งยากเช่นนี้ จึงได้เร่งเร้าพี่ชายกลับไปยังเมืองจีนโดยเร็วที่สุด
ตามคำบอกเล่าของขุนพจน์สารบัญ คุณปู่ของคุณสุวิทย์ คณานุรักษ์ ซึ่งเป็นผู้สร้างองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและน้องสาว ตลอดจนศาลเจ้าเล่งจูเกียง เล่าว่า ระยะเวลาที่ลิ้มกอเหนี่ยวกับพี่ชายมีปากเสียงกันนั้น อยู่ในระหว่างที่ลิ้มเต้าเคียนกำลังก่อสร้างสุเหร่าที่เมืองกรือเซะ และกำลังก่อสร้างถึงยอดโดม ลิ้มกอเหนี่ยวเห็นว่าพี่ชายหลงรักธิดาเจ้าเมืองกรือเซะมากกว่ามารดา ถึงกับยอมทิ้งขนบธรรมเนียมเดิม หันมานับถือศาสนาอิสลามและคงหมดหนทางที่จะนำตัวพี่ชายกลับบ้านได้แล้ว เลยโกรธมากตัดสินใจยอมสละชีวิต โดยการผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์(ซึ่งอยู่หลังสุสานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่ตำบลกรือเซะทุกวันนี้) ก่อนที่จะผูกคอตายได้กล่าวคำสาปแช่งไว้ว่า “จะไม่ยอมให้พี่ชายสร้างสุเหร่านี้ได้สำเร็จ”
ส่วนน้องสาวพอทราบว่า พี่สาวยอมสละชีวิตก็ฆ่าตัวตายตามไปด้วย รวมทั้งลูกเรือที่ติดตามมาทุกคนพากันแล่นเรืออกไปกลางทะเล แล้วกระโดดน้ำให้ฉลามกัดตายจนหมดทั้งสิ้น ตามตำนานได้เล่าไว้ว่า มีแต่นายท้ายเรือของลิ้มกอเหนี่ยว ชื่อ จูก๋ง ผู้ใจเด็ดได้ตั้งคำสัตย์ปฏิญาณไว้ว่า ตราบใดที่ลิ้มเต้าเคียนไม่ยอมตามตนกลับไป ตนจะขออยู่เฝ้าเรือจนกว่าจะสิ้นชีวิต พอเรือจม จูก๋งก็ตายพร้อมกับเรือลำนั้นตามที่ได้ตั้งคำสัตย์ไว้ ปัจจุบันศาลเจ้าเล่งจูเกียงยังมีแผ่นป้ายจารึกนามของจูก๋งไว้สักการบูชา
ตามตำนานกล่าวอีกว่า เรือสำเภาที่ลิ้มกอหนี่ยวนำมามีอยู่เก้าลำ เมื่อขาดการดูแลเรือได้จมลงทะเลหมด เหลือแต่เสากระโดง ซึ่งทำด้วยต้นสนเก้าต้น เลยเรียกสถานที่ตรงนั้นว่า"รูสะมิแล” ซึ่งแปลว่า สนเก้าต้น
เมื่อเหตุการณ์กบฏได้สงบราบคาบลง ศรีตะวันกรมการผู้ใหญ่จึงประชุมเลือกผู้ครองเมืองสืบไป
สุดท้ายมติที่ประชุมตกลงเลือกบุตรีของเจ้าเมืองเป็นนางพญาครองเมือง โดยได้ทำนุบำรุงบ้านเมืองอาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข นางพญาได้มอบหมายให้ลิ้มเต้าเคียนเป็นนายช่าง ควบคุมการก่อสร้างสุเหร่ากรือเซะต่อไป ขณะที่สร้างคานบนจะสร้างโดมก็ปรากฏเหตุการณ์ประหลาด ฟ้าได้ผ่าลงมาถูกยอดโดมพังทะลายหมด แม้ลิ้มเต้าเคียนได้ใช้ความพยายามทำการก่อสร้างโดมอยู่ถึง ๓ ครั้ง แต่ก็ถูกฟ้าผ่าพังทะลายทุกครั้ง สร้างความประหลาดใจให้แก่ลิ้มเต้าเคียนรำพึงในใจว่าชะรอยตนมีความอกตัญญู มิรู้คุณมารดาและทำให้น้องสาวที่ติดตามมาต้องเสียชีวิตด้วย เทพแห่งฟ้าดินจึงลงโทษแก่ตน ในที่สุดลิ้มเต้าเคียนก็ยอมแพ้และเลิกล้มความคิดสร้างสุเหร่าต่อ ทำให้มัสยิดกรือเซะคงค้างคามิได้สร้างต่อมาจนทุกวันนี้
ต่อมาลิ้มเต้าเคียนได้หล่อปืนใหญ่ถวายนางพญาไว้สำหรับเมือง ปืนที่หล่อสามกระบอก มีชื่อคล้องจองกันดังนี้
กระบอกที่หนึ่ง ชื่อ "นางพญาตานี"
กระบอกที่สอง ชื่อ "เสรีนครา"
กระบอกที่สาม ชื่อ "มหาหลาหลอ"
ในตำนานเล่าว่า ลิ้มเต้าเคียนได้อยู่ในช่วงรัชสมัยนางพญารายาบีรู ราว พ.ศ.๒๑๕๙-๒๑๖๗ พอหล่อปืนสำเร็จแล้ว จึงบรรจุดินปืนทำการทดลอง เกิดมีกระบอกหนึ่งจุดชนวนหลายหนแต่ไม่ลั่น แม้จะพยายามอยู่สักเท่าใดก็ไม่สำเร็จ ลิ้มเต้าเคียนเห็นเป็นอัศจรรย์ใจ ในที่สุดก็ทราบว่าเป็นด้วยอำนาจคำสาปของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวผู้เป็นน้องสาว ด้วยสำนึกผิดในบาปที่ตนได้กระทำลงไป จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ปืนที่หล่อได้ทั้งหมดสามารถใช้การได้ ตนยินดียอมตายถวายชีวิตด้วยอำนาจปืนที่หล่อนี้ และแล้วลิ้มเต้าเคียนได้ลงมือจุดชนวนเอง โดยตนเองได้ยืนอยู่ตรงปากกระบอกปืนใหญ่นั้น อำนาจกระสุนปืนใหญ่ได้ปะทะร่างของลิ้มเต้าเคียนระเบิดลอยไปในอากาศ จบชีวิตดั่งที่ได้ลั่นคำสัตย์ปฏิญาณไปในทันที
สำหรับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวหลังจากสิ้นชีวิตแล้ว ดวงวิญญาณได้สิงสถิตอยู่ที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ที่ผูกคอตาย ก่อเกิดอภินิหารให้เห็นอยู่เนืองๆผู้ใดที่ได้รับความเจ็บป่วยหรือได้รับความเดือดร้อนประการใด เมื่อได้ไปบนบานที่นั่นก็จะหายป่วยพ้นจากความเดือดร้อนได้ดั่งปรารถนา
คุณพระจีนคณานุรักษ์(ต้นตระกูล“คณานุรักษ์”) ชาวจีนที่มีความอุตสาหะ ในการประกอบอาชีพสร้างตนเองและครอบครัว จนประสบความสำเร็จและเป็นหัวหน้าชาวจีนในปัตตานี และเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
วันหนึ่ง คุณพระฯ ท่านป่วยเป็นโรคประหลาด พยายามไปให้หมอรักษาสักเท่าใดก็ไม่หาย เมื่อจนปัญญาก็ไปกราบไหว้พระเซ๋าซูก๋ง(พระหมอ) ซึ่งคุณพระท่านได้สร้างศาลเจ้าเล็กๆ ให้อยู่ที่ตลาด(ถนนอาเนาะรู) พระเซ๋าซู๋ก๋งได้บอกให้คุณพระฯ ไปหาเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและขอให้ช่วยรักษาโรคด้วย
เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมาประทับทรงและบอกจะรักษาโรคให้หาย แต่พอหายป่วยคุณพระจีนคณานุรักษ์สร้างศาลเจ้าที่เมืองปัตตานีให้ท่านกับน้องสาว พร้อมทั้งขอให้แกะรูปเคารพเจ้าแม่กับน้องสาว โดยจัดให้ประทับร่วมศาลเจ้าเดียวกับพระเซ๋าซูก๋ง คุณพระฯรับปากตามเงื่อนไขทุกประการ ในที่สุดพระคุณจีนคุณานุรักษ์ก็หายจากโรคประหลาดและได้ปฏิบัติตามสัญญา คือให้นายช่างจีนแกะสลักรูปเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวด้วยไม้มะม่วงกิ่งที่ผูกคอตาย จนรูปเจ้าแม่กับน้องสาวเสร็จเรียบร้อย ต่อจากนั้นคุณพระจีนคุณานุรักษ์ได้สร้างศาลเจ้าหลังใหม่ขึ้น ดังที่ปรากฏมาจนถึงปัจจุบัน
ศาลเจ้าเล่งจูเกียงจึงค่อยๆ เจริญขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นที่เคารพสักการะของชาวปัตตานีและจังหวัดข้างเคียง ตลอดจนถึงชาวต่างประเทศในแถบเอเชีย โดยในทุกปีจะมีงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ (หลังจากตรุษจีน ๑๕ วัน) ซึ่งจะมีประชาชนที่เคารพนับถือและศรัทธาในองค์เจ้าแม่หลั่งไหลมาทั่วสารทิศ เพื่อคอยเฝ้าชมบารมีของเจ้าแม่ฯ
ส่วนมูลเหตุที่ทางภาคใต้นิยมมีการแห่เจ้าแม่ฯ ด้วยการข้ามน้ำลุยไฟ อันเป็นพิธีที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากนั้น เพราะเชื่อกันว่าในปีหนึ่งๆ จะมีสิ่งเลวร้าย และอุบาทว์ทั้งหลายพยายามเข้ามาสิงสู่ในครอบครัว คอยรังควาญให้เกิดความเดือดร้อนล้มเจ็บป่วยไข้ ทำมาหากินติดขัดและมีเคราะห์กรรมต่างๆ เกิดขึ้นเสมอ ดังนั้นพวกชาวจีนจำเป็นต้องจัดงานประจำปีขึ้น เพื่อเป็นการอ้อนวอนหรือขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ได้ช่วยเหลือปกป้องคุ้มครองบันดาลความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ชีวิตอีกครั้ง
ส่วนมูลเหตุที่ทางภาคใต้นิยมมีการแห่เจ้าแม่ฯ ด้วยการข้ามน้ำลุยไฟ อันเป็นพิธีที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากนั้น เพราะเชื่อกันว่าในปีหนึ่งๆ จะมีสิ่งเลวร้าย และอุบาทว์ทั้งหลายพยายามเข้ามาสิงสู่ในครอบครัว คอยรังควาญให้เกิดความเดือดร้อนล้มเจ็บป่วยไข้ ทำมาหากินติดขัดและมีเคราะห์กรรมต่างๆ เกิดขึ้นเสมอ ดังนั้นพวกชาวจีนจำเป็นต้องจัดงานประจำปีขึ้น เพื่อเป็นการอ้อนวอนหรือขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ได้ช่วยเหลือปกป้องคุ้มครองบันดาลความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ชีวิตอีกครั้ง
![]() |
องค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (ภาพเก่า ปี ๒๕๑๒) |
![]() |
พิธีแห่เจ้าแม่ลงแม่น้ำปัตตานีใต้สะพานเดชานุชิต จำลองเหตุการณ์เจ้าแม่ข้ามน้ำ-ข้ามทะเลมาตามหาพี่ชายที่เมืองปัตตานี (ภาพเก่า ปี ๒๕๑๒) |
![]() |
พิธีแห่เจ้าแม่ลุยไฟ(ภาพเก่า ปี ๒๕๑๒) |
![]() |
พิธีแห่เจ้าแม่ลุยไฟ(ภาพเก่า ปี ๒๕๑๒) |
![]() |
ประชาชนที่หลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศเพื่อมาเข้าร่วมชมพิธีแห่เจ้าแม่ (ภาพเก่า ปี ๒๕๑๒) |
![]() |
สุสานเจ้าแม่ ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับมัสยิมกรือเซะ (ภาพเก่า ปี ๒๕๑๒) |
![]() |
ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า“ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” อยู่ที่ถนนอาเนาะรู อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี (ภาพเก่า ปี ๒๕๑๒) |
![]() |
ป้าย“ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” อยู่ที่ถนนอาเนาะรู อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี (ภาพเก่า ปี ๒๕๑๒) |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น