วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

อ้วยโท้


รูปภาพ : อ้วยโท้ เป็นแม่ทัพของซี้ไต้เทียนอ๋อง(สี่มหาราช) มีหน้าที่พิทักษ์วิหารในพระพุทธสาสนา หรือถ้าวัดขาดแคลน เมื่ออ้อนวอนบูชา อาจอำนวยความมั่งคั่งให้แก่วัดได้ อ้วยโท้ คำนี้ แผลงมาจากคำ เวโท(เวท)ในสันสกฤต ซึ่งในลัทธิอินเดียรุ่นหลังและทิเบตจัดให้เป็นตัวตน มีหน้าที่เป็นวิหารบาล ตกมาถึงเมืองไทยเราเรียกว่าท้าวมหาชมพูผู้จุลจักรพรรดิ ในเวลาทำพิธีกงเต๊ก ย่อมมีฉากรูปท่านผู้นี้ตั้งด้วยเสมอไป โดยหันหน้าเข้าข้างใน
ในวิหารต้นที่มีซี้ไต้เทียนอ๋องอยู่สองข้างและมีรูปพระศรีอารยอยู่กลางหันหน้าออก ถ้าเราผ่านพ้นห้องวิหารนั้นถึงลานใน จะพบรูปอ้วยโท้หันหน้าเข้าข้างใน ยันกับรูปพระศรีอารย(ดูได้ที่ในวัดมังกรกมลาวาส) เหตุไฉนจึงต้องหันหน้าเข้า น่าจะสันนิษฐานได้ว่า เหตุการณ์ภายหน้าเป็นหน้าที่ของพระศรีอารย ซึ่งเทพอ้วยโท้ไม่มีกิจเกี่ยวข้องด้วย เทพอ้วยโท้คงมีหน้าที่จะป้องกันพระศาสนาและบรรดาภิกษุสงฆ์ให้พ้นภัยเท่านั้น จึ่งได้หันหน้าเข้าข้างใน ตรงไปวิหารกลางซึ่งเป็นตอนสำคัญของวัด
เรื่องราวของเทพอวยโท้มีที่ทราบได้น้อย บรรดาคัมภีร์ต่างๆคงปรากฏชื่ออยู่เพียงในคัมภีร์กิมกวงเม่งเกง(สุวรรณประภาสสูตร คัมภีร์ฝ่ายพุทธตันตระ)เท่านั้น แต่ไปมีประวัติอยู่ในเรื่องซินเซียนทงกัง(รวมเรื่องเทวดาและเซียน มีขายในกรุงเทพฯ)ว่า สมัยหนึ่งพระยู่ไล้อัญเชิญพระพุทธเจ้าไปรับเลี้ยง ณ ลุ่ยอิมกัง(หอรามสูร)แดนไวเทียน(สวรรคสุขาวดี) ตรัสให้อ้วยโท้เจียงกุนมีหน้าที่สำหรับต้อนรับ  เทพอ้วยโท้สวมเกราะและหมวกประคองกระบี่ในท่าประณมเมืองเพียงอก เป็นอาการแสดงเคารพเชื้อเชิญผู้แขกมา
ขณะนั้นพระทีปังกรพุทธเจ้าตรัสแนะนำแก่บรรดาพระพุทธเจ้าว่า เทพผู้นี้คืออ้วยโท้เป็นศิษย์ของพระองค์ได้เคยศึกษาพระธรรมมาแต่เยาว์ บัดนี้เป็นแม่ทัพใหญ่ของซี้ไต้เทียนอ๋อง อาจไปสู่ทวีปต่างๆในวันเดียวได้ตั้งสามทวีปและมีอานุภาพหาเขตมิได้ ผู้สบทุกข์ถ้าอ้อนวอนบูชาก็ได้รับความช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นจึงได้นามว่าเทียนจุง ผู้มีเกียรติในสวรรค์ และเป็นผู้กล้าหาญอภิบาลพระพุทธศาสนาในกัลป์นี้ตลอดไปในสามทวีป ซึ่งล้วนมีเสียงแซ่สร้องสรรเสริญในท่านผู้นี้ที่มีการุณยภาพในมนุษย์นิกร เรื่องเทพอ้วยโท้ที่ทราบมีเท่านี้
รูปลักษณะเทพอ้วยโท้สังเกตได้ง่าย เพราะแต่งตัวสวมเกราะและหมวกอย่างทหาร สองมือประคองกระบี่ในท่าประณม บางทีไม่ใช้กระบี่ ใช่กระบองกังปี่มีเหลี่ยมเป็นปล้องๆอย่างงิ้วเล่น อาวุธนี้ใช้ปราบปีศาจหรือมารที่ทำการรังควานสงฆ์ รูปเทพอ้วยโท้ นอกจากมีไว้ในวิหารแรก บางทีถ้าทางเข้าวัดลดเลี้ยว เช่นเป็นทางบนภูเขาก็ตั้งไว้หัวเลี้ยว เพื่อป้องกันภัยแก่สัตบุรุษที่ไปนมัสการบูชาในวัด บางทีที่รูปเทพอ้วยโท้มีเทพธรรมบาลชั้นรองอยู่ด้วย ซึ่งเรียกว่ากาลั้ม อันจะได้เล่าต่อไปสวนหนึ่ง
อนึ่งเทพอ้วยโท้นี้ได้กล่าวว่าอาจอำนวยความมั่งคั่งแก่วัดได้ จึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรี่ยไรด้วย เช่นเมื่อวัดต้องการเงินปฏิสังขรณ์ที่ชำรุดทรุดโทรม หลวงจีนต้องไปขออนุฐาตจากเจ้าพนักงานประจำตำบลเสียก่อน ได้รับอนุญาตแล้ว จึงจะจัดการเรี่ยไรได้ การอนุญาตเจ้าพนักงานเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรว่าหลวงจีนมีชื่อนี้ๆอยู่วัดนั้นเป็นผู้รับอนุญาตให้เรี่ยไรเงินปฏิสังขรณ์วัดได้ และประทับตราตำแหน่งเจ้าพนักงานผู้อนุญาตพร้อมทั้งปีเดือนวันคืน
หลวงจีนต้องนำใบอนุญาตนั้น ไปให้เจ้าพนักงานโปเทีย(คือนายตำรวจประจำท้องที่ มีตำแหน่งรองตีกุ้ยนายอำเภอ)ขอความอารักขาช่วยเหลือ เมื่อดำเนินการตามระเบียบเสร็จแล้ว ก็เอาศาลเทพอ้วยโท้ขึ้นแบกออกเดินไปยังตำบลที่จะเรี่ยไร ศาลอ้วยโท้นี้เป็นหีบขนาดเล็ก ข้างในเป็นป้ายมีอักษรสมมุติว่าเป็นภาพเทพอ้วยโท้ มีที่สำหรับเสียบธูปและมีอักษรบอกแผ่กุศลเรี่ยไรเงิน
หลวงจีนผู้ไปเรี่ยไร ไม่โกนผม คงปล่อยไว้ให้ยาวแล้วมุ่นขมวดเอาห่วงทองเหลืองรัดไว้(อย่างรูปเต้าหยิน)เมื่อเดินตามทางก็ตีกะโหลกไม้(เรียกว่าบั๊กฮือจะเห็นได้ในเวลาทำพิธีกงเต็ก) ซึ่งคล้องคอไว้  เมื่อประกาศความประสงค์แห่งการเรี่ยไรให้ทราบทั่วกันแล้ว ก็ขอให้เจ้าพนักงานโปเทียพาไปหาผู้มั่งคั่งหรือร้านโรงที่คะเนว่าคงออกเงินเรี่ยไร ผู้ออกเงินมากก็บันทึกชื่อและจำนวนเงินไว้ในทะเบียนพิเศษ ทำด้วยกระดาษเหลืองเรียกว่า รายชื่อผู้มีศรัทธากล้า แล้วรับเงินมอบให้ลูกศิษย์ไว้ในหีบหรือไถ้
ถ้าการเรี่ยไรไม่ได้ผล หลวงจีนก็ปลงศาลเทพอ้วยโท้ลงจากบ่าไปวางไว้ที่หน้าบ้านเจ้าพนักงานโปเทียคนใดคนหนึ่งหรือที่หน้าบ้านผู้มีอันจะกิน แล้วตนเองนั่งขัดสมาธิขอเรี่ยไรคนละเล็กละน้อยจากผู้สัญจรผ่านไปมา หากที่ทำนี้ไม่สำเร็จอีกก็ใช้วิธีใหม่เรียกว่ายืนบนเหล็กแหลมในหีบ คือมีหีบต่อฝาโปร่ง ขนาดสูงกว่าคนยืนนิดหน่อยนำไปตั้งไว้ที่ประชุมชน มีหลวงจีนตนหนึ่งเข้าไปยืนอยู่ในนั้น ซึ่งตรึงตาปูหีบให้แน่นมิให้ออกได้ หลวงจีนที่อยู่ภายนอกก็ป่าวประกาศแก่ประชาชนว่าหลวงจีนที่อยู่ในหีบจะต้องทรมานกายไม่บริโภคข้าวและน้ำ จนกว่าจะได้เงินเรี่ยไรพอกับจำนวนที่กะไว้ เพราะฉะนั้นจึงขอให้ผู้ใจบุญได้กรุณาแก่หลวงจีนที่ต้องทรมานเพราะเห็นแก่ศาสนาและเพื่อให้มหาชนมีความสงสารยิ่งขึ้นก็บอกด้วยว่าหลวงจีนที่อยู่ในหีบยืนเหยียบบนปลายเหล็กแหลม
อีกอย่างหนึ่งถ้าวัดขาดแคลนจตุปัจจัยก็มักมีพิธีพิเศษอ้อนวอนเทพอ้วยโท้ เชื่อถือกันว่าอาจบันดาลให้ได้สมประสงค์
บางทีเทพอ้วยโท้เป็นบริวารพระกวนอิมโพธิสัตว์ ถ้ารูปกวนอิมโพธิสัตว์มีรูปทหารประคองอาวุธประสานมืออยู่ตรงมุมก็คือรูปเทพอ้วยโท้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นรูปที่จำง่าย
วันเกิดของเทพอ้วยโท้ คือวัน ๓ ค่ำ เดือนที่หก


อ้วยโท้ เป็นแม่ทัพของซี้ไต้เทียนอ๋อง(สี่มหาราช) มีหน้าที่พิทักษ์วิหารในพระพุทธสาสนา หรือถ้าวัดขาดแคลน เมื่ออ้อนวอนบูชา อาจอำนวยความมั่งคั่งให้แก่วัดได้ อ้วยโท้ คำนี้ แผลงมาจากคำ เวโท(เวท)ในสันสกฤต ซึ่งในลัทธิอินเดียรุ่นหลังและทิเบตจัดให้เป็นตัวตน มีหน้าที่เป็นวิหารบาล ตกมาถึงเมืองไทยเราเรียกว่าท้าวมหาชมพูผู้จุลจักรพรรดิ ในเวลาทำพิธีกงเต๊ก ย่อมมีฉากรูปท่านผู้นี้ตั้งด้วยเสมอไป โดยหันหน้าเข้าข้างใน

ในวิหารต้นที่มีซี้ไต้เทียนอ๋องอยู่สองข้างและมีรูปพระศรีอารยอยู่กลางหันหน้าออก ถ้าเราผ่านพ้นห้องวิหารนั้นถึงลานใน จะพบรูปอ้วยโท้หันหน้าเข้าข้างใน ยันกับรูปพระศรีอารย(ดูได้ที่ในวัดมังกรกมลาวาส) เหตุไฉนจึงต้องหันหน้าเข้า น่าจะสันนิษฐานได้ว่า เหตุการณ์ภายหน้าเป็นหน้าที่ของพระศรีอารย ซึ่งเทพอ้วยโท้ไม่มีกิจเกี่ยวข้องด้วย เทพอ้วยโท้คงมีหน้าที่จะป้องกันพระศาสนาและบรรดาภิกษุสงฆ์ให้พ้นภัยเท่านั้น จึ่งได้หันหน้าเข้าข้างใน ตรงไปวิหารกลางซึ่งเป็นตอนสำคัญของวัด

เรื่องราวของเทพอวยโท้มีที่ทราบได้น้อย บรรดาคัมภีร์ต่างๆคงปรากฏชื่ออยู่เพียงในคัมภีร์กิมกวงเม่งเกง(สุวรรณประภาสสูตร คัมภีร์ฝ่ายพุทธตันตระ)เท่านั้น แต่ไปมีประวัติอยู่ในเรื่องซินเซียนทงกัง(รวมเรื่องเทวดาและเซียน มีขายในกรุงเทพฯ)ว่า สมัยหนึ่งพระยู่ไล้อัญเชิญพระพุทธเจ้าไปรับเลี้ยง ณ ลุ่ยอิมกัง(หอรามสูร)แดนไวเทียน(สวรรคสุขาวดี) ตรัสให้อ้วยโท้เจียงกุนมีหน้าที่สำหรับต้อนรับ เทพอ้วยโท้สวมเกราะและหมวกประคองกระบี่ในท่าประณมเมืองเพียงอก เป็นอาการแสดงเคารพเชื้อเชิญผู้แขกมา
ขณะนั้นพระทีปังกรพุทธเจ้าตรัสแนะนำแก่บรรดาพระพุทธเจ้าว่า เทพผู้นี้คืออ้วยโท้เป็นศิษย์ของพระองค์ได้เคยศึกษาพระธรรมมาแต่เยาว์ บัดนี้เป็นแม่ทัพใหญ่ของซี้ไต้เทียนอ๋อง อาจไปสู่ทวีปต่างๆในวันเดียวได้ตั้งสามทวีปและมีอานุภาพหาเขตมิได้ ผู้สบทุกข์ถ้าอ้อนวอนบูชาก็ได้รับความช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นจึงได้นามว่าเทียนจุง ผู้มีเกียรติในสวรรค์ และเป็นผู้กล้าหาญอภิบาลพระพุทธศาสนาในกัลป์นี้ตลอดไปในสามทวีป ซึ่งล้วนมีเสียงแซ่สร้องสรรเสริญในท่านผู้นี้ที่มีการุณยภาพในมนุษย์นิกร เรื่องเทพอ้วยโท้ที่ทราบมีเท่านี้

รูปลักษณะเทพอ้วยโท้สังเกตได้ง่าย เพราะแต่งตัวสวมเกราะและหมวกอย่างทหาร สองมือประคองกระบี่ในท่าประณม บางทีไม่ใช้กระบี่ ใช่กระบองกังปี่มีเหลี่ยมเป็นปล้องๆอย่างงิ้วเล่น อาวุธนี้ใช้ปราบปีศาจหรือมารที่ทำการรังควานสงฆ์ รูปเทพอ้วยโท้ นอกจากมีไว้ในวิหารแรก บางทีถ้าทางเข้าวัดลดเลี้ยว เช่นเป็นทางบนภูเขาก็ตั้งไว้หัวเลี้ยว เพื่อป้องกันภัยแก่สัตบุรุษที่ไปนมัสการบูชาในวัด บางทีที่รูปเทพอ้วยโท้มีเทพธรรมบาลชั้นรองอยู่ด้วย ซึ่งเรียกว่ากาลั้ม อันจะได้เล่าต่อไปสวนหนึ่ง

อนึ่งเทพอ้วยโท้นี้ได้กล่าวว่าอาจอำนวยความมั่งคั่งแก่วัดได้ จึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรี่ยไรด้วย เช่นเมื่อวัดต้องการเงินปฏิสังขรณ์ที่ชำรุดทรุดโทรม หลวงจีนต้องไปขออนุฐาตจากเจ้าพนักงานประจำตำบลเสียก่อน ได้รับอนุญาตแล้ว จึงจะจัดการเรี่ยไรได้ การอนุญาตเจ้าพนักงานเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรว่าหลวงจีนมีชื่อนี้ๆอยู่วัดนั้นเป็นผู้รับอนุญาตให้เรี่ยไรเงินปฏิสังขรณ์วัดได้ และประทับตราตำแหน่งเจ้าพนักงานผู้อนุญาตพร้อมทั้งปีเดือนวันคืน

หลวงจีนต้องนำใบอนุญาตนั้น ไปให้เจ้าพนักงานโปเทีย(คือนายตำรวจประจำท้องที่ มีตำแหน่งรองตีกุ้ยนายอำเภอ)ขอความอารักขาช่วยเหลือ เมื่อดำเนินการตามระเบียบเสร็จแล้ว ก็เอาศาลเทพอ้วยโท้ขึ้นแบกออกเดินไปยังตำบลที่จะเรี่ยไร ศาลอ้วยโท้นี้เป็นหีบขนาดเล็ก ข้างในเป็นป้ายมีอักษรสมมุติว่าเป็นภาพเทพอ้วยโท้ มีที่สำหรับเสียบธูปและมีอักษรบอกแผ่กุศลเรี่ยไรเงิน

หลวงจีนผู้ไปเรี่ยไร ไม่โกนผม คงปล่อยไว้ให้ยาวแล้วมุ่นขมวดเอาห่วงทองเหลืองรัดไว้(อย่างรูปเต้าหยิน)เมื่อเดินตามทางก็ตีกะโหลกไม้(เรียกว่าบั๊กฮือจะเห็นได้ในเวลาทำพิธีกงเต็ก) ซึ่งคล้องคอไว้ เมื่อประกาศความประสงค์แห่งการเรี่ยไรให้ทราบทั่วกันแล้ว ก็ขอให้เจ้าพนักงานโปเทียพาไปหาผู้มั่งคั่งหรือร้านโรงที่คะเนว่าคงออกเงินเรี่ยไร ผู้ออกเงินมากก็บันทึกชื่อและจำนวนเงินไว้ในทะเบียนพิเศษ ทำด้วยกระดาษเหลืองเรียกว่า รายชื่อผู้มีศรัทธากล้า แล้วรับเงินมอบให้ลูกศิษย์ไว้ในหีบหรือไถ้

ถ้าการเรี่ยไรไม่ได้ผล หลวงจีนก็ปลงศาลเทพอ้วยโท้ลงจากบ่าไปวางไว้ที่หน้าบ้านเจ้าพนักงานโปเทียคนใดคนหนึ่งหรือที่หน้าบ้านผู้มีอันจะกิน แล้วตนเองนั่งขัดสมาธิขอเรี่ยไรคนละเล็กละน้อยจากผู้สัญจรผ่านไปมา หากที่ทำนี้ไม่สำเร็จอีกก็ใช้วิธีใหม่เรียกว่ายืนบนเหล็กแหลมในหีบ คือมีหีบต่อฝาโปร่ง ขนาดสูงกว่าคนยืนนิดหน่อยนำไปตั้งไว้ที่ประชุมชน มีหลวงจีนตนหนึ่งเข้าไปยืนอยู่ในนั้น ซึ่งตรึงตาปูหีบให้แน่นมิให้ออกได้ หลวงจีนที่อยู่ภายนอกก็ป่าวประกาศแก่ประชาชนว่าหลวงจีนที่อยู่ในหีบจะต้องทรมานกายไม่บริโภคข้าวและน้ำ จนกว่าจะได้เงินเรี่ยไรพอกับจำนวนที่กะไว้ เพราะฉะนั้นจึงขอให้ผู้ใจบุญได้กรุณาแก่หลวงจีนที่ต้องทรมานเพราะเห็นแก่ศาสนาและเพื่อให้มหาชนมีความสงสารยิ่งขึ้นก็บอกด้วยว่าหลวงจีนที่อยู่ในหีบยืนเหยียบบนปลายเหล็กแหลม

อีกอย่างหนึ่งถ้าวัดขาดแคลนจตุปัจจัยก็มักมีพิธีพิเศษอ้อนวอนเทพอ้วยโท้ เชื่อถือกันว่าอาจบันดาลให้ได้สมประสงค์

บางทีเทพอ้วยโท้เป็นบริวารพระกวนอิมโพธิสัตว์ ถ้ารูปกวนอิมโพธิสัตว์มีรูปทหารประคองอาวุธประสานมืออยู่ตรงมุมก็คือรูปเทพอ้วยโท้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นรูปที่จำง่าย
วันเกิดของเทพอ้วยโท้ คือวัน ๓ ค่ำ เดือนที่หก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น